วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สับปะรดเป็นผลไม้ที่ฉันชอบมาก

สับปะรด
สับปะรด
ลองกินสับปะรดดูน่ะค่ะ
สับปะรดมีวิตามินซีที่สามารถ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง สับปะรด เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายในบ้านเราตลอดทั้งปี ราคาไม่แพง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์สัปปะรดมีดังนี้
1. ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง กินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ร่างกายได้รับวิตามินซีที่ในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ การกินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น จึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากเกินไป
2. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย
3. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ที่มีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
4. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดความเสียงโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20% เชียวนะ
5. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และเอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ผิดปกติในปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ป้องกันมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
6. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยยับยั้งการอักเสบ ซึ่งชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผลที่ได้ผลดี
7. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้
ข้อแนะนำของสับปะรด
ถึงแม้ว่าสับปะรด จะเป็นผลไม้ที่เยี่ยมยอดเลยก็ว่าได้สำหรับเรานะค่ะ แต่หากรับประทานในปริมาณมากๆ อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ ควรรับประทานสับปะรด ควบคู่ไปกับการทานอาหาร และผักผลไม้อื่นๆด้วยนะค่ะอย่าลืมบอกต่อเคล็ดลับดีๆให้เพื่อนๆต่อได้นะค่ะ

วังทะลุ

วังทะลุ ห่างจากหมู่บ้านช้างเพียง ๓ กิโลเมตร ที่นี่เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหลและลำน้ำชีมาบรรจบกัน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่จังหวัดอุบลราชธานี "วังทะลุ" เป็นสายน้ำที่แวดล้อมไปด้วยป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามซึ่งหาชมได้ยาก ยังมีความอุดมบูรณ์ทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นที่อาบน้ำของช้างในหมู่บ้านยามเย็น

ศาลปะกำ

ศาลปะกำ
ศาลปะกำ
 ศาลปะกำ ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ ตามความเชื่อของชาวกวยหรือกูย นิยมปลูกสร้างไว้ในชุมชนคุ้มบ้าน
ศาลปะกำ
ศาลปะกำ



อาคารพิพิธภัณฑ์

อาคารพิพิธภัณฑ์
อาคารพิพิธภัณฑ์
 ป็นสถานที่แสดงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้าง อาทิ วิวัฒนาการของช้าง ช้างในยุคต่างๆ โครงกระดูกช้างโรคที่เกี่ยวข้องกับช้าง เครื่องมือในการคล้องช้าง ภาพวิธีการจับช้างในรูปแบบต่างๆ ลักษณะสำคัญของช้าง อาหารและยาสมุนไพรช้าง วิถีความผูกพันระหว่างคนกับช้าง พิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ขั้นตอนวิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับช้างที่เสียชีวิต วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวกวยหรือกูย เป็นต้น
อาคารพิพิธภัณฑ์
อาคารพิพิธภัณฑ์


ศูนย์คชศึกษา

ศูนย์คชศึกษา
ศูนย์คชศึกษา

ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง เป็นสถานที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีความเป็นอยู่ความผูกพันของคนในชุมชนและช้างรวมทั้งประเพณีและวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างใกล้ชิดชาบ้านตากลาง แต่ละครัวเรือนจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่รวมกัน จนช้าที่พวกตนเลี้ยงไว้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตนก่อให้เกิสายใยความผูกพันที่แน่นเฟ้นขึ้นระหว่างคนกับช้างณบ้านตากลาง จ. สุรินทร์ ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก
หมู่บ้านช้างตั้งอยู่หมู่ที่ 9 และ 13 บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูมพื้นที่หมู่บ้านเป็นที่นาและป่าละเมาะสลับกับป่าโปร่งเหมาะกับการเลี้ยงช้างชาวบ้านตากลางดั้งเดิมเป็นชาวส่วยหรือกูย หรือ กวย มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า
ศูนย์คชศึกษา
ศูนย์คชศึกษา


การเดินทาง

 บ้านตากลางอยู่ห่างจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางทิศเหนือตามเส้นทางหลวงหมายเลข214(สุรินทร์-ร้อยเอ็ด) ก่อนถึงอำเภอท่าตูมจะมีทางแยกซ้ายตรงหลักกิโลเมตรที่36เข้าปากทางบ้านกระโพตรงเข้าไปตามถนนราดยางอีกประมาณ22กิโลเมตร ก็จะถึงเขตหมู่บ้าน

การแสดงช้าง

สนามแสดงช้างแสนรู้

        สนามแสดงช้างแสนรู้จะมีการแสดงความสามารถอันเฉลียวฉลาดและน่ารักของช้างในศูนย์ฯ อาทิ ช้างเต้นรำ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกโป่ง ช้างเตะฟุตบอล ฯลฯ
การแสดงช้าง
การแสดงช้าง
          การแสดงช้างที่ ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จ.สุรินทร์ มีทุกวัน วันละ 2 รอบ
รอบเช้า เวลา 10.00น.
รอบบ่าย เวลา 14.00น.
ไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์


        
           ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ คนละ 50 บาท
เด็กโต คนละ 20 บาท
เด็กเล็ก คนละ 10 บาท
ชาวต่างชาติ คนละ 100 บาท

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผลิตภัณฑ์อันล่ำค่าจากน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง(สุรินทร์)

เซรั่มบำรุงผิวหน้า
เซรั่มบำรุงผิวหน้า
เซรั่มบำรุงผิวหน้า
ด้วยคุณค่าน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ที่อุดมไปด้วย วิตามิน อี แกมมา-ออริซานอลและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยใหผิวชุ่มชื้น
เจลน้ำมันรำข้าวว่านหางจระเข้
เจลน้ำมันรำข้าวว่านหางจระเข้

เจลน้ำมันรำข้าวว่านหางจระเข้
ด้วยส่วนผสมของน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ และว่านหางจระเข้ที่มีคุณค่าบำรุงและช่วยให้ผิวกระจ่างใส
สบู่ธรรมชาติ
สบู่ธรรมชาติ

สบู่ธรรมชาติ
ส่วนผสมของน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์  และมะหาดจะดูแลบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น สะอาด
ครีมอาบน้ำ
ครีมอาบน้ำ

ครีมอาบน้ำ
ถนอมผิวด้วยน้ำมันรำข้าวข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและชุ่มชื้น
โลชั่นบำรุงผิว
โลชั่นบำรุงผิว

โลชั่นบำรุงผิว
ส่วนผสมของน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ ใช้เป็นประจำ จะช่วยให้ ผิวเนียน นุ่ม ชุ่มชื้น กระจ่างใส
แชมพูผมหอม
แชมพูผมหอม

แชมพูผมหอม
แรงบันดาลใจจากแม่นางผมหอมในตำนานเล่าขานของอำเภอปราสาทสู่ผลิตภัณฑ์แชมพูจากน้ำมันรำข้าวข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์  ที่จะช่วยบำรุงผมให้นุ่ม หอมกว่าใคร

งาน SIFF ครั้งที่ 10 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ วันที่ 15-25 มกราคม 2558


มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ กำหนดจัดงานเทศกาลการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ครั้งที่ 10 (The10th Surin International Folklore Festival : 10th SIFF) ระหว่างวันที่ 15 – 25 มกราคม 2558 ณ เวทีบริเวณสระว่ายน้ำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ซึ่งในครั้งนี้มีนักแสดงชาวต่างชาติทั้งหมด 25 ทีม จาก 21 ประเทศเข้าร่วมการแสดง  ก็จะมีศิลปะวัฒนธรรมการแสดงก็จะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นท่ารำ ภาษา การแต่งกาย การทักทาย จะสื่อออกมาให้ผู้ชมที่ร่วมงาน SIFF เห็นถึงประเพณีของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร 

ประเทศที่เข้ามาแสดง มี 21 ประเทศ ด้วยกัน ดังนี้


                                      1. ประเทศบังคลาเทศ                         11. ประเทศมาเลเซีย                
                                      2. ประเทศกัมพูชา                              12. ประเทศเมียรมาร์
                                      3. ประเทศจีน                                    13. ประเทศเนปาล
                                      4. ประเทศอินเดีย(รัฐมณีปุระ)              14. ประเทศฟิลิปปินส์
                                      5. ประเทศอินเดีย 2                           15. ประเทศโปแลน
                                      6. ประเทศอิสราเอล                           16. ประเทศรัสเซีย
                                      7. ประเทศญี่ปุ่น                                17. ประเทศสโลวาเกีย
                                      8. ประเทศลาว 1 (หลวงพระบาง)        18. ประเทศเกาหลี
                                      9. ประเทศลาว 2 (เวียงจันทร์)            19. ประเทศศรีลังกา
                                      10. ประเทศลัตเวีย                            20. ประเทศตุรกี
                                      21. ประเทศเวียดนาม
ประเทศที่ได้รับมอบหมายให้ไปศึกษา ชมการแสดงนั้น คือ ประเทศศรีลังกา และประเทศสโลวาเกีย แต่การแสดงไม่ได้มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น แต่มีการแสดงครบทุกประเทศในวันเดียวกัน

      การแสดงของประเทศศรีลังกา ชื่อการแสดงว่า ศรีลังกาซอง เป็นการแสดงพื้นบ้านของเขาการแสดงนี้ถือว่าการรำได้พร้อมกันมากเลยค่ะได้ชมแล้วสนุกมากๆเลย
มาดูชุดประจำชาติกันค่ะ

ประเทศที่สองคือ สโลวาเกีย การแสดงของประเทศสโลวาเกีย คือ ปูจารา ผู้เลี้ยงแกะ เป็นการแสดงพื้นบ้านในลักษณะการนำเครื่องดนตรีของประเทศของเขาเข้ามาขับร้องในจังหวะดนตรี ได้อย่างไพเราะมากๆเลยค่ะ
ชุดประจำชาติของประเทศสโลวาเกีย
นอกจากนี้ดิฉันประทับใจอีกหลายๆประเทศเช่น
ประเทศรัสเซียการแสดงสวยงามมากน่ารักด้วยค่ะมาดูกันเลย
ติดตามชมใน SIFF ครั้งที่ 11 จ้า